Reminder Chapter 02 [Minwon Fiction]


#Reminder
MinWon Fiction
Chapter 2





“หัวใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะของจอนวอนอู” กับ “แผ่นหลังอันอบอุ่นที่คุ้นเคย”

ณ บ้านพักตากอากาศของตระกูลจอน

“เมื่อไหร่พี่จะกลับเนี่ย ไม่สงสารผมบ้างหรอ” วอนอูเปิดอ่านข้อความแชทที่ถูกส่งมาพร้อมกับสติ๊กเกอร์ร้องไห้
“เดี๋ยวคืนนี้วิดีโอคอลไปนะ” เขาพิมพ์ข้อความส่งกลับไป
“คิดถึงอ่ะ” มินกยูส่งข้อความกลับมาพร้อมสติ๊กเกอร์หมีงอน
วอนอูเปิดอ่านข้อความแต่แล้วก็ต้องรีบเก็บโทรศัพท์ เพราะถูกผู้เป็นแม่ตามตัวให้ไปพบกับญาติที่เพิ่งเดินทางมาถึง
บ้านพักตากอากาศของครอบครัวถูกใช้เป็นที่รับรองญาติๆที่เดินทางมาจากจังหวัดต่างๆ เพื่อมาร่วมทริปตากอากาศของตระกูล

กว่าจะหาจังหวะปลีกตัวมาได้ก็เป็นเวลาราวๆสามทุ่มแล้ว วอนอูหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงระหว่างทางเดินกลับห้องพักของตัวเอง “ป่านนี้เด็กนั่น คงงอนไปแล้วมั้ง” คิดพลางเปิดอ่านข้อความที่ถูกส่งมาไม่ต่ำกว่า 20 ข้อความ
“ผมคิดถึงพี่จริงๆนะ(สติ๊กเกอร์รูปหัวใจ)”
“พี่...ใจร้ายอ่ะ!!”
“ตอบผมหน่อยสิพี่…”
“จะไม่ตอบจริงๆหรอ -*-”
“มัวแต่ไปยิ้มหวานให้หนุ่มหรือเปล่าเนี่ย(สติ๊กเกอร์หมีไฟลุก)”
“เมื่อไหร่จะคอลมาอ่ะ”
“หนึ่งทุ่มแล้ว…”
“สองทุ่มแล้ว…”
“พี่…(สติ๊กเกอร์หมีร้องไห้)
. . .
พออ่านจบก็อดอมยิ้มให้กับความขี้โวยวายของอีกคนไม่ได้
“งอนแล้ว” พูดทันทีที่กดรับสายของอีกคน
“เดี๋ยวอาบน้ำก่อนนะ แล้วจะวิดีโอคอลไป”
“ไม่อาวววว อาบไปคุยไปก็ได้นี่”
“ทะลึ่ง!” พูดก่อนจะกดตัดสายทันที
ทำไมวอนอูต้องรู้สึกร้อนๆที่ใบหน้าด้วยนะ

หลังจากที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้วอนอูอยู่ในชุดนอนเสื้อแขนสั้นกับกางเกงขายาวเข้าชุดสีน้ำเงินลายน้องหมีสีเหลือง และกำลังกดวิดีโอคอลหาอีกคน พอปลายสายกดรับ เขาก็หลุดหัวเราะออกมาทันที เพราะคนปลายสายก็ดันสวมชุดนอนแบบเดียวกันกับที่เขาใส่อยู่ตอนนี้
“พี่ขำอะไร”
“ก็ชุดเราสองคนน่ะสิ”
“ไม่เห็นแปลก ก็ใจเราตรงกันไง” ว่าพลางส่งวิ้งค์ให้อีกคน
“แหวะ”
“พี่คิดดูสิว่าผมคิดถึงพี่มากแค่ไหนถึงเอาชุดนอนที่พี่ซื้อให้มาใส่”
“เดี๋ยวก็กลับแล้วน่า”
“พรุ่งนี้ใช่มั้ย”
“ต้องไปที่บ้านพักบนเขาต่ออีก 2-3 วันน่ะ”
“ว่าแล้วเชียว” ว่าพลางทำหน้างอ
“แปบเดียวเอง เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
“ผมรู้ว่าจริงๆแล้วพี่ก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อใช่มะ”
“มันก็ใช่ แต่ทำยังงัยได้ล่ะ”
“งั้นเดี๋ยวผมไปรับมะ”ว่าพลางยิ้มหน้าบาน ทำให้เห็นเขี้ยวเล็กๆชัดเจน
“ชอบพูดเป็นเล่นอยู่เรื่อย”
“ผมพูดจริงนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมขับรถไปรับเลย”
“เด็กบ๊อง ขับรถยังไม่แข็งเลยนายอ่ะ”
“ก็ผมอยากเจอพี่แล้วอ่ะ พี่อ่ะ..มาให้เจอแปบเดียวแล้วก็ไป”
“เดี๋ยวซื้อขนมไปฝาก”
“ไม่ต้องเอาขนมมาล่อเลย เชอะ”มินกยูพูดพลางเอามือกอดอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ...เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“เดี๋ยวมานะ มีคนมาหาน่ะ” วอนอูว่าพลางลุกจากเตียงเดินไปที่ประตูห้อง เมื่อเปิดประตูห้องก็พบกับญาติคนหนึ่งที่มาพร้อมกับไฟฉายในมือ
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่สักพัก วอนอูจึงเดินกลับมาที่เตียงและบอกมินกยูว่าเขาต้องไปแล้ว
“ไปอีกแล้วหรอ” ว่าพลางทำหน้าเศร้า
“เดี๋ยวพรุ่งนี้โทรหา นอนเถอะดึกแล้ว ฝันดีนะ”
“คร้าบ ฝันดีคร้าบ”
มินกยู พ่นลมหายใจออกมาทันทีที่อีกฝ่ายวางสายไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจนะ ปิดเทอมทั้งทีแทนที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่นี่แทบไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่ปิดเทอมมา มินกยูล่ะน้อยใจ

เช้าวันต่อมา
วอนอู ยืนสูดอากาศอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน พลางมองออกไปที่หาดทราย ที่เมื่อคืนเขาและญาติๆรุ่นราวคราวเดียวกัน ไปวิ่งเล่นไล่จับปูกันซะจนค่อนคืน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าที่นี่อากาศดีกว่าในเมืองมากแต่บรรยากาศดีๆแบบนี้ก็ชวนให้นึกถึงว่าถ้ามีอีกคนมาด้วยกันก็คงจะดี ยืนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนเสียงของคนเป็นแม่ดังขึ้น
“วอนอู เดี๋ยววันนี้แม่กับพวกป้าและน้าๆ จะเข้าไปในเมืองนะ ไปด้วยกันมั้ย”
เขาคิดสักพักก่อนตอบ “ไม่ดีกว่าครับ”
“แหม เด็กหนุ่มๆเค้าคงไม่อยากไปกับคนแก่ๆอย่างเราๆหรอก” ญาติคนหนึ่งพูดขึ้น
“เอ่อ ...ไม่ใช่อย่างนั้นครับ”
“งั้น ถ้าลูกหิว แถวๆนี้มีร้านอาหารอยู่หลายร้านเลยนะ”
“ครับแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เที่ยวให้สนุกนะครับ”
หลังจากที่เดินไปส่งแม่และญาติๆ ยืนรอจนรถเคลื่อนออกไปแล้ว ก็เดินกลับมานั่งที่ชิงช้าหน้าบ้าน หยิบมือถือออกจากกระเป๋า จะส่งข้อความหาอีกคนก็กลัวว่าจะยังเช้าเกินไป เลยเปลี่ยนใจเดินเล่นไปรอบๆบริเวณบ้านแทนจนมาพบกับจักรยานคันหนึ่งที่จอดพิงอยู่ตรงรั้วด้านหลังของบ้าน


เมื่อไปถามหาเจ้าของจักรยานกับคนดูแลบ้าน จนได้ความ ก็ขอยืมจักรยานออกมาปั่นรับอากาศยามเช้าสักหน่อย แต่ยิ่งปั่นไปก็ยิ่งติดใจกับบรรยากาศข้างทางจึงปั่นไปเรื่อยๆแบบไม่มีจุดหมาย จนมาพบกับหอประชุมของหมู่บ้าน ที่ติดป้ายไว้ว่ามีการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่ายเป็นวันสุดท้ายพอดี
“นิทรรศการภาพถ่ายงั้นหรอ” เขาจอดจักรยานไว้ที่ด้านหน้าอาคารและเดินเข้าไปด้านในพลางมองหาเจ้าหน้าที่ แต่ก็ไม่พบใคร มีเพียงป้ายและลูกศรที่ติดไว้ว่าเชิญด้านใน วอนอูค่อยๆเดินตามป้ายจนไปเจอกับห้องโถงด้านใน ที่เต็มไปด้วยผลงานภาพถ่าย เขาเพลิดเพลินไปกับการเดินชมนิทรรศการโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขา
“อ๊ะ…มีชั้นสองด้วยหรอ” เขาอุทานเมื่อเดินมาเห็นป้ายตรงบันได ที่เป็นลูกศรชี้ขึ้นไปที่ด้านบน จึงค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของอาคาร
บนชั้นสองของอาคารด้านหนึ่งเป็นกระจกใสที่มองออกไปเห็นวิวของแม่น้ำที่มีภูเขาสีเขียวและท้องฟ้าสีฟ้าเป็นฉากหลัง วอนอูหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า หวังจะส่งไปให้อีกคนได้ดู
ขณะกดซัตเตอร์เป็นเวลาเดียวกันกับที่ร่างของเขาถูกชายร่างสูงที่เข้ามาจากด้านหลังใช้มือข้างหนึ่งรวบเอวคอดและใช้มืออีกข้างปิดปากของเขาไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากยังไม่ทันที่วอนอูจะได้ขัดขืน ตัวของเขาก็ถูกพามาอยู่ที่หลังประตูบานหนึ่ง

. . .
. . .

หลังจากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ จึงพบว่าตอนนี้ตัวเองถูกพามาที่บันไดหนีไฟที่ปราศจากผู้คน เขาค่อยๆรวบรวมความกล้าหันไปเผชิญหน้ากับคนอีกคน และทันทีที่หันไปเห็นหน้าของอีกฝ่าย ก็ทำให้ต้องอุทานออกมาอย่างดีใจ
“คิม มินกยู ...” ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ ก็ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนทำให้ต้องเดินถอยไปจนหลังชิดกับกำแพง แถมยังยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆจนต้องหลับตา “กะ..ใกล้เกินไปแล้วนะมินกยู” ได้แต่คิดในใจ และเป็นเพราะว่าหลับตาจึงไม่เห็นว่าอีกคนมองตนเองด้วยสายตาแบบไหน มารู้ตัวอีกทีริมฝีปากบางก็ถูกสัมผัสด้วยอวัยวะเดียวกัน ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้น เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่ริมฝีปากที่ถูกสัมผัสหากแต่หน้าท้องแบนราบที่กำลังเกร็งเพราะสัมผัสจากอีกคน มือหนาค่อยๆเลื่อนขึ้นมายังแผงอก แม้จะไม่ใช่สัมผัสโดยตรงหากแต่เป็นสัมผัสผ่านเสื้อเชิ้ตแต่นั่นก็ทำให้วอนอูขนลุกไปทั้งตัว และก็เป็นอีกครั้งที่เขาสะดุ้งเมื่อมือหนาเคลื่อนตัวเข้ามาสัมผัสผิวใต้เสื้อ
“อ๊ะ” ทำให้ต้องอุทานออกมา อาศัยจังหวะที่ริมฝีปากเผยอออก เข้าครอบครอง รุกล้ำริมฝีปากของอีกคน ในขณะที่กำลังมอบจูบที่ดูดดื่ม มืออีกข้างก็โอบเอวเพื่อพยุงร่างบางที่ตอนนี้เหมือนจะพยุงตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
เขายกยิ้มมุมปากทันทีที่ถอนริมฝีปากออก ก่อนใช้นิ้วเช็ดคราบของเหลวที่เลอะริมฝีปากให้คนตรงหน้า ที่เอาแต่ยืนก้มหน้า
“จอน.. วอน.. อู..” จู่ๆก็เรียกชื่อของอีกคนออกมา จนอีกคนเงยหน้าขึ้นมาพร้อมคิ้วที่ขมวดด้วยความสงสัย นอกจากจะไม่ได้รับคำตอบหรือคำพูดอะไรจากคนตรงหน้าแล้ว แก้มของเขายังถูกบีบด้วยมือของอีกคน ทำให้ริมฝีปากที่เผยอออกทันทีที่ถูกแรงบีบ ถูกครอบครองอีกครั้งโดยร่างสูง ลิ้นหยาบหนารุกล้ำเข้ามามากกว่าเดิม พยายามเกี่ยวกระหวัดลิ้นที่ไม่ประสีประสา มือหยาบหนาสอดเข้าใต้เสื้อเชิ้ต ค่อยๆลูบไล้จากหน้าท้องแบนราบขึ้นไปยังแผงอก และเป็นอีกครั้งที่คนตัวสูงต้องพยุงร่างบางเอาไว้ เขาใช้ขาข้างขวาแทรกไปที่หว่างขาของอีกคน เพื่อให้ขาเป็นที่พยุงไว้ ทำให้สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ภายใต้กางเกงยีนตัวหนาที่กำลังตอบสนองต่อสัมผัสที่เขามอบให้ ฝ่ามือหนาที่ลูบไล้ไปทั่วแผงอกตอนนี้ไปสัมผัสอยู่กับบริเวณที่ไวต่อความรู้สึก ร่างบางเกร็งตัว กำมือแน่น ขาทั้งสองราวกับไร้เรี่ยวแรงที่จะพยุงให้ตัวเองยืนอยู่ได้ เขาค่อยๆทรุดตัวลงจนอีกคนต้องโอบเอวไว้ ก่อนถอนริมฝีปากออกแล้วกอดอีกคนไว้ในอ้อมแขนแน่น ทำให้รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะของจอน วอนอู...

เขากอดอยู่อย่างนั้น จนแน่ใจว่าหัวใจของอีกคนกลับมาเต้นเป็นจังหวะที่เกือบปกติแล้วจึงคลายอ้อมกอด วางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มแล้วยีผมเบาๆ ก่อนเปลี่ยนมากุมมือแล้วพาอีกคนออกมาที่ด้านนอกตัวอาคาร

“ไปขี่จักรยานเล่นกัน” ไม่พูดเปล่าแต่เดินไปขึ้นคร่อมจักรยาน แล้วหันมาตบเบาะที่นั่งด้านหลัง เป็นเชิงเรียกอีกคน แต่พอเห็นว่าอีกคนยังยืนนิ่งด้วยท่าทีงงๆจึงต้องออกเสียงเรียกชื่อให้รู้สึกตัว “มาเร็วสิ จอน วอนอู”

แม้จะยังไม่สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้มากนัก แต่เจ้าตัวก็ค่อยๆเดินไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานแต่โดยดี
“จับดีๆสิวอนอู” ว่าพลางคว้ามือทั้งสองข้างของคนซ้อนให้มาวางลงบนเอวของตัวเอง วอนอู เพียงแค่จับเสื้อรอบเอวของอีกคนไว้หลวมๆ ก่อนที่รถจะออกตัว

รถจักรยานที่มีคนตัวโตเป็นคนปั่นและคนตัวเล็กเป็นคนนั่งซ้อนท้าย เคลื่อนตัวผ่านร้านรวงและบ้านพักอาศัย ที่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง เข้าสู่ซอยเล็กๆแคบๆซอยหนึ่งที่อยู่ทางขวามือของทั้งคู่ ซอยแคบๆพอแค่รถจักรยานผ่านได้กับพื้นถนนที่ขรุขระ ช่างเป็นทางที่ไม่น่าผ่าน มาเอาเสียเลย แต่เมื่อรถเคลื่อนผ่านซอยออกไปเบื้องหน้าก็ปรากฏวิวทิวทัศน์ของแม่น้ำที่มองเห็นจากอาคารที่จัดนิทรรศการเมื่อครู่ มีเลนสำหรับจักรยานทอดยาวขนาบข้างแม่น้ำ “สวยจัง มินกยู รู้จักที่แบบนี้ได้ยังงัยกันนะ” นึกพลางสูดอากาศสดชื่นยามสาย และเพราะมัวแต่เงยหน้าขึ้นไปสูดอากาศมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถโยกไปมาเพราะคนตัวโตเล่นปล่อยมือทั้งสองข้างจากที่จับ ด้วยกลัวจะตกจึงกอดเอวของคนตัวโตไว้แน่น
“มินกยูอย่าปล่อยมือสิ!!” ตะโกนออกไป แม้ว่าอีกคนจะกลับมาจับแฮนด์จักรยานแล้วก็ตามคนตัวโตที่ถูกกอดเอวจนแน่นจึงยิ้มออกมาที่แกล้งอีกคนได้สำเร็จ และตลอดทางคนตัวเล็กไม่คลายกอดจากเอวของเขาเลยเพราะกลัวจะโดนแกล้งอีก

รถจักรยานมาหยุดที่หน้าร้านอาหารเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่สุดถนน เขาจูงมือคนตัวเล็กพาเดินเข้าไปในร้าน แล้วเลือกที่นั่งด้านในสุด ส่งเมนูให้คนตัวเล็กเลือกอาหารก่อนเจ้าตัว
“เลือกก่อนสิ” วอนอูว่าพลางส่งเมนูอาหารคืนให้อีกคน เมื่ออีกคนเลือกอาหารได้แล้วจะส่งเมนูกลับคืนมาให้ จึงบอกไปว่า “เอาเหมือนมินกยู”

“เนงมยอนสองที่นะคะ” อาหารที่ปรุงเสร็จถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะอาหาร ทันทีที่อาหารถูกวางลงบนโต๊ะ วอนอู ก็จัดแจงคีบวัตถุดิบที่เป็นอาหารทะเลไปใส่ในชามของอีกคนจนหมด เนงมยอนซีฟู้ดจึงเหลือแค่เส้น กับผักนิดหน่อย แล้วก็ไข่ต้ม เพราะที่นี่อยู่ติดทะเลเมนูจึงมีแต่อาหารทะเล คนตัวเล็กจึงเลือกตามอีกคนเพราะคิดว่าจะได้แบ่งอาหารของตนเองให้อีกคนได้ ส่วนตัวเองที่ไม่สามารถกินอาหารทะเลได้ก็กินแค่เส้นกับน้ำซุปแล้วก็ไข่ต้ม คนตัวโตมองอีกคนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จนคนตัวเล็กมุ่ยหน้า แล้วพูดออกมา
“มินกยูก็รู้นี่” ไม่ใช่เพราะว่ากินอาหารทะเลไม่ได้แต่เพราะอีกคนที่ดูเหมือนว่าจะจำไม่ได้มากกว่า
“กินอย่างอื่นมั้ย” เขาถามออกมา
“ไม่ล่ะที่นี่เมืองติดทะเลก็ต้องมีแต่อาหารทะเลสิ”
“กินอาหารทะเลไม่ได้ แต่มาพักที่เมืองติดทะเล แล้วจะกินอะไรได้ล่ะเนี่ย” เขานึกพลางวางตะเกียบในมือลง ก่อนจะแบ่งเส้นบะหมี่กับไข่ต้มมาใส่ชามให้อีกคน
“ไม่เอา กินเถอะ เดี๋ยวมินกยูไม่อิ่ม”พูดพลางเอามือปิดชามของตัวเอง
“แค่นี้ก็อิ่มแล้ว” อีกคนไม่พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าให้กับคนตัวเล็กที่จู่ๆก็ยิ้มออกมา
“น่ารักจังเลยแหะ” มินกยูนึกพลางจับตะเกียบใส่มือให้อีกคน เป็นการบอกให้อีกคนกินอาหารในชามได้แล้ว

มื้ออาหารจบลง ทั้งคู่กล่าวขอบคุณเจ้าของร้านก่อนจะเดินออกไป แต่คนตัวโตวิ่งกลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง เขาใช้เวลาสักพักก่อนกลับออกมาพร้อมกับถุงกระดาษในมือ
“หื้ม” วอนอู เลิกคิ้วขึ้นเมื่ออีกคนยื่นถุงกระดาษมาให้เขา
“เผื่อหิว” ว่าพลางจับถุงกระดาษที่เต็มไปด้วยเมล็ดเกาลัดใส่มืออีกคน แล้วพาจูงไปที่รถจักรยานที่จอดอยู่

ทั้งสองย้อนกลับมายังทางเดียวกับตอนที่มา แม้ว่าจะเป็นเวลาบ่ายแก่แล้วแต่อากาศที่นี่ก็ยังสดชื่นไม่ต่างจากตอนสายเลย
เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ยอมเอื้อมมือมาจับเอวตนก็เลยแกล้งให้รถเซไปมา จนคนตัวเล็กต้องคว้าเอวไว้ แต่นั้นก็ไม่ทำให้คนตัวโตพอใจ จึงแกล้งขู่ว่าถ้าจับไม่แน่นจะปล่อยมือละนะ เพียงเท่านี้คนตัวเล็กก็กอดเอวเขาไว้แน่น ยิ่งกว่านั้นพอรถเคลื่อนไปคนตัวเล็กก็เอาหน้ามาซุกลงบนแผ่นหลังของเขา แล้วพูดเสียงเบาโดยที่ไม่คิดว่าอีกคนจะได้ยิน “หลังของมินกยูอุ่นจัง”


To Be Continued ...

#Reminder

MinWon Fiction by@Serenity1707

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม