Convert Minwon
Convert Minwon
บรื้นน บรื้นนนน เสียงของเครื่องยนต์ Bonneville ที่กำลังเลี้ยวออกจากซอยเล็กๆสู่ถนนใหญ่ มุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางด้วยความเร็วที่พุ่งทะยานบวกกับเสียงเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ ชนิดที่ผู้คนที่เดินอยู่ริมถนนต่างพากันหันมอง ชายหนุ่มในชุดหนังสีดำเป็นผู้ควบคุมรถคันนั้น แม้จะไม่สามรถมองเห็นใบหน้าของคนขับได้เพราะชุดและหมวกกันนีอคที่ปกปิดมิดชิดนั้น แต่จากการแต่งกายและเครื่องประดับที่สวมใส่นั้นบ่งบอกได้ว่าเขาเป็นคนทีมีรสนิยมดีทีเดียว
รถชะลอความเร็วเมื่อเลี้ยวผ่านประตูโรงเรียนมัธยมโซล ไปจอดที่หน้าอาคารหลังหนึ่งของโรงเรียน เขาลงจากรถพลางถอดหมวกกันน๊อค วางมันไว้บนเบาะรถ แล้วรีบเดินเข้าไปในอาคารนั้น เขาวิ่งขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของอาคารด้วยความรีบร้อน แม้ว่าในเวลานี้ไฟตามอาคารจะถูกปิดลงแต่ไฟส่องสว่างตามบันไดยังคงถูกเปิดไว้ อาคารที่ไร้ซึ่งผู้คนในเวลาแบบนี้ให้ความรู้สึกวังเวงชอบกล แต่สำหรับเขาไม่มีอะไรที่เขาต้อง กลัวหรอก
เขาหยุดยืนหอบหายใจทันทีที่ขึ้นมาถึงดาดฟ้า ก่อนที่จะได้ยันเสียงกุกกักดังมาจากด้านหนึ่งของชั้นดาดฟ้า เขาชะงักเล็กน้อยก่อนคิดว่าน่าจะเป็นเสียงของหนูที่ออกมาหากินตอนกลางคืน พอคิดได้ดังนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มาเปิดโหมดไฟฉาย ส่องไปที่พื้นแล้วค่อยๆก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ยิ่งเดินเสียงนั้นยิ่งดังชัดขึ้นทุกที เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ หรือบางทีอาจจะมีใครที่ยังไม่กลับบ้านก็ได้ เขาลังเลแต่ก็ตัดสินใจพูดออกไป “เฮ้ย...ใครอ่ะ ออกมานะ ถ้าไม่ออกมาเจอดีแน่” ไม่มีเสียงตอบกลับมา และไม่มีใครปรากฎตัวออกมาเช่นกัน มีแต่เสียงกุกกัที่ดังมากขึ้น เขาเงี่ยหูฟังนั้นให้ชัดมากขึ้น แล้วพบว่าเป็นเสียง กระแทกของอะไรสักอย่างเข้ากับวัสดุที่ไม่ได้แข็งมากอย่างเช่นไม้ เสียงนั้นดังขึ้นอยู่สามครั้งก่อนค่อยๆเบาลง เขาสูดหายใจเข้าก่อนตัดสินใจมองไปรอบๆของดาดฟ้าอีกครั้ง เพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่ ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบลงไป เขาสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนรีบทำสิ่งที่ทำให้เขาต้องกลับมาที่นี่ในเวลานี้
เขาส่องไฟจากโทรศัพท์ไปบนพื้นอีกครั้ง พลางนึกถึงเหตุการณ์ตอนกลางวันที่เขาและเพื่อนๆพากันขึ้นมานั่งอยู่บนนี้ “อ่าาา ต้องเป็นตรงนั้นแหงเลย” เขาพูดกับตัวเองพลางเดินอ้อมไปที่หลังห้องเก็บของ ส่องไฟไปบนพื้นเพื่อหาบางอย่างอยู่พักใหญ่ ก่อนอุทาน “โอ๊ยยยย อยู่นี่เอง นึกว่าหายซะแล้ว” ขณะที่เขาก้มลงหยิบแหวนที่เงินบนพื้นก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เสียงนั่นกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง ก็อยากจะทำเป็นไม่สนใจอยู่หรอกนะเพราะสิ่งที่ตัวเองต้องการก็หาเจอแล้ว แต่เพราะความข้องใจบวกกับความสงสัยว่าอาจจะมีใครที่อยากจะกวนประสาทเขาอยู่หรือเปล่า เขาจึงยืนนิ่งแล้วเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เขารู้สึกว่าเสียงนั้นอยู่ไม่ไกลจากเขานัก “หรือว่าบางทีเสียงนั้นอาจจะมาจากในห้องเก็บของนี้” เขานึกพลางเดินไปที่ประตูห้องเก็บของ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เสียงนั้นดังชัดเจนเมื่อเขามาหยุดที่หน้าประตู เขาค่อยๆก้มลงเอาหูไปแนบกับประตู เสียงอะไรบางอย่างกระแทกกับประตู ด้ามจับของประตูสองบานนั้นถูกพันไว้ด้วยโซ่เส้นหนา แต่ไม่มีแม่กุญแจลอคไว้ เขาแกะโซ่นั้นออก แล้ววางมันไว้บนพื้นก่อนสูดหายใจแล้วเปิดประตูนั้น
“เฮ้ยยย” เขาร้องพลางกระโดดถอยหลังออกมาแทบจะทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างของใครสักคนในท่านั่งที่ค่อยๆล้มลงไปลงพื้นตามแรงที่ประตูถูกเปิดออก พอเริ่มตั้งสติได้เขาก็เพ่งมองไปที่ร่างของคนๆนั้น ชุดเครื่องแบบนักเรียนโรงเรียนนี้ แต่หน้าตาที่เต็มไปด้วยรอยแผลและรอยฟกช้ำนั้นบวกกับความมืดทำให้เขาเองไม่แน่ใจว่าคนๆเป็นใคร “นี่นาย” เขาเรียกคนที่ตอนนี้นอนนิ่งไม่ไหวติง “นาย” เรียกอีกครั้งก่อนยื่นมือไปเขย่าตัว ร่างนั้นขยับตัวเพียงเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่มีแรงมากพอที่จะขยับตัวได้เลย
ใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ว่าจะทำอย่างไรกับคนตรงหน้าดีแต่การกระทำกลับไวกว่าความคิด เขาช้อนร่างนั้นมาไว้ในอ้อมแขน ก่อนยกขึ้นแล้วพาเดินลงบันไดไป ระหว่างทางเดินเขารู้สึกได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกคนเย็นมาก คงเป็นเพราะอากาศที่กำลังเข้าสู่หน้าหนาวบวกกับเสื้อนักเรียนตัวบางที่อีกคนใส่
เขาถอนหายใจทันทีที่ทรุดตัวลงนั่นบนบันไดขั้นสุดท้าย ก่อนวางร่างนั้นลงบนตักอย่างเบามือ “นี่นาย บ้านอยู่ไหน จะให้ไปส่งที่ไหน” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ริมฝีปากที่ซีดจนแทบจะไม่มีสีสั่นเพราะความหนาว เขาถอดเสื้อหนังสีดำของตัวเองออกมาสวมให้อีกคนอย่างทุลักทุเล ก่อนพาร่างนั้นไปที่รถแล้วขับออกไป เพราะร่างนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงและแทบไม่ได้สติ เขาจึงต้องประคองร่างนั้นไว้ด้านหน้าของตนเองแทน เขาเร่งความเร็วฝ่าอากาศที่เริ่มหนาวเย็นแข่งกับความมืดของท้องฟ้า ยังดีที่ถุงมือหนังที่สวมอยู่พอที่จะช่วยบรรเทาความเย็นไปได้บ้าง แม้ว่าตัวเองจะเริ่มสั่นเพราะความหนาวแต่เขาก็กัดฟันพาร่างนั้นมาถึงที่บ้านในที่สุด
ทันทีที่รถหยุดลง เขาถอดถุงมือแล้วตีไปที่แก้มของอีกคนเบาๆเพื่อเรียก “นี่นาย....” เปลือกตาที่ปิดสนิทดูเหมือนจะเผยอขึ้นเล็กน้อย ก่อนปิดลงอีกครั้ง เขารวบร่างนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมแขนก่อนพาเข้าไปในบ้าน ขึ้นไปที่ชั้นสองและตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง วางร่างนั้นลงบนเตียงจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อผ้าที่หนาและอุ่นพลางสำรวจดูบาดแผลที่ลำตัวแต่ก็ไม่พบ จากนั้นจึงห่มผ้าให้หลายชั้น ก่อนจะเดินไปปรับเร่งอุณหภูมิของเครื่องทำความร้อน
คิ้วยังคงขมวดด้วยความกังวล เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นจะสามารถช่วยอีกคนได้หรือเปล่า
“หรือว่า...” จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างออก เขาเดินไปที่ห้องน้ำแล้วเปิดน้ำอุ่นลงในอ่างอาบน้ำ ตั้งใจว่าจะเอาตัวของอีกคนมาแช่ในน้ำอุ่นเผื่ออาการจะดีขึ้น แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาสามารถหาคำตอบได้จากอินเทอร์เนต พอพิมพ์คำว่า ‘อุณหภูมิร่างกายเย็น’ ก็พบว่าเป็น Hypothermia หรือภาวะตัวเย็นเกิน คือภาวะที่ร่างกายสูญเสียความร้อนอย่างรวดเร็วจนมีอุณหภูมิต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส และพบว่าวิธีที่ตัวเองทำเป็นวิธีที่ถูกแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “เหลือแค่ต้องรอสินะ” พึมพำพลางทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองไปยังคนที่หลับสนิทอยู่บนเตียงของตัวเอง หยิบบางอย่างออกจากกระเป๋ากางเกงแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างๆเตียง ก่อนเอื้อมมือไปกดปิดไฟในห้องเหลือไว้เพียงไฟที่ส่องออกมาจากห้องน้ำ
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำเอาคนที่เผลอหลับไปสะดุ้งตื่น เขาเดินไปเปิดประตูแล้วก็พบว่าเป็นแม่บ้าน “คุณหนูยังไม่อาบน้ำอีกหรอคะ ดึกแล้วนะคะ ให้ป้าเตรียมน้ำให้ไหมคะ” แม่บ้านที่เดินขึ้นมาเพราะเห็นรถที่จอดอยู่ “เอ่อ...ไม่เป็นไรครับ ผมกำลังจะอาบน้ำอยู่พอดีครับ ขอบคุณครับ” เขากล่าว
“อยากดื่มอะไรก่อนนอนไหมคะ” แม่บ้านถาม “อ่า...ไม่ล่ะครับ ขอบคุณนะครับ” เขากล่าวพลางปิดระตู แต่พอหันกลับเข้ามาในห้องเห็นร่างของอีกคนก็ทำให้นึกได้ขึ้นมา “ป้าครับ...ผมขอนมอุ่นๆสักแก้วนะครับ” เขาประตูออกมาตะโกนบอกแม่บ้านที่เดินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว แม่บ้านรับคำก่อนถาม “รับอะไรเพิ่มไหมคะ หรือว่าถ้าหิวเดี๋ยว...” ยังไม่ทันจะพูดจบประโยค เขาก็พูดสิ่งที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ออกมาเสียก่อน “มีปรอทวัดไข้ไหมครับ” “ห้ะ อะไรนะคะ” แม่บ้านเดินกลับมาพลางถามซ้ำ “เอ่อ ผมหมายถึงสิ่งที่ใช้วัดไข้น่ะครับ” เขาอธิบาย “เรื่องนั้นป้าทราบคะ แต่คุณหนูจะเอามาทำอะไรหรือคะ หรือว่าคุณหนูไม่สบายคะ ไปหาหมอไหมคะ” แม่บ้านถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เอ่อ...เปล่าครับ ไว้ผมเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ” พูดพลางส่งยิ้มให้
“เอ่อ..ได้ค่ะงั้นรอสักครู่นะคะ” แม่บ้านพูดก่อนเดินไป เขาเดินกลับเข้ามาในห้องเดินไปที่เตียงเอาหลังมือไปแตะหน้าผากของอีกคนเพื่อดูว่าตัวพอจะอุ่นขึ้นมาบ้างหรือยัง แล้วก็รู้สึกโล่งใจที่ผิวของอีกคนเริ่มอุ่นขึ้นมาบ้างแล้ว “ดีนะที่ไม่จับนายโยนลงไปในอ่างน้ำเสียก่อน” เขาพึมพำและแอบหัวเราะกับความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเอง
แม่บ้านกลับมาพร้อมกับนมอุ่นๆและปรอทวัดไข้ เขาเปิดประตูให้กว้างมากพอเพื่อที่จะให้แม่บ้านได้เห็นอีกคนที่กำลังหลับอยู่บนเตียงของเขา “นั่น...ใครหรือคะ” แม่บ้านถาม “พรุ่งนี้ผมฝากด้วยแล้วกันนะครับ ช่วยเอาอาหารเช้ากับอาหารกลางวันมาให้เขาด้วยนะครับ” เขาบอกกับแม่บ้านที่ยังดูไม่ค่อยจะเข้าใจในสถานการณ์เท่าไร แต่ก็ตอบตกลง “ได้ค่ะ คุณหนูต้องการอะไรเพิ่มไหมคะ” “ไม่มีแล้วครับ ป้าไปนอนเถอะครับ” เขากล่าวก่อนที่จะปิดประตูลง
ตั้งใจว่าจะให้อีกคนดื่มนมอุ่นๆเผื่ออาการจะได้ดีขึ้น แต่พอเห็นหลับสนิทแบบนั้นก็ไม่กล้าที่จะปลุก เขาใช้หลังมือแตะไปที่หน้าผากของอีกคน แล้วเลื่อนลงมาแตะที่ต้นคอ พอจะรู้สึกอุ่นขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งเจอกันก็โล่งอกไปหน่อย “ถึงจะไม่ค่อยชอบนาย แต่ก็ไม่ใจร้ายพอที่จะทิ้งนายไว้แบบนั้นหรอกนะ” เขานึกก่อนลุก ออกจากเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
เช้าวันต่อไป…
เขาตื่นขึ้นแทบจะในทันทีหลังจากที่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น สิ่งที่แรกทำหลังจากผุดลุกขึ้นคือการเดินจากโซฟาไปที่เตียงมองดูคนที่ยังหลับสนิท ก่อนใช้หลังมือแตะหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิแล้วพบว่าอุณหภูมิร่างกายของอีกคนสูงกว่าเมื่อวานนี้มาก “ควรทำไงกับนายดี” เขาดูร้อนรน แต่พอเหลือบมองไปที่นาฬิกาก็ตัดสินใจไปอาบน้ำแต่งตัว “คุณหนูคะ อาหารเช้าพร้อมแล้วนะคะ” แม่บ้านมาเคาะประตูเป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาแต่งตัวเสร็จพอดี “เอ่อคือ….ป้าครับ” พูดทันทีที่เปิดประตูออกไป แล้วทำท่าชี้เข้ามาในห้อง “อ๋อ..ได้คะเดี๋ยวป้าดูแลให้เองนะคะ คุณหนูไ่ม่ต้องเป็นห่วงค่ะ” นึกอยู่ชั่วครู่ก่อนตอบ
เป็นอาหารมื้อเช้าที่เต็มไปด้วยความกังวล จนแม่บ้านสังเกตได้ “ให้ตามหมอไหมคะ” เธอถามขึ้น ทำให้คนถูกถามได้สติขึ้นมา “ห้ะ...อะไรนะครับ” “ป้า ถามว่าให้ป้าตามหมอมาไหมคะ” แม่บ้านพูดทวนอีกครั้ง “ก็ดีนะครับ” เขาเห็นด้วย พลางคิดว่าทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงนึกไม่ได้นะ “งั้น คุณหนูก็ไม่ต้องกังวลแล้วนะคะ เดี๋ยวป้าและคุณหมอจะช่วยกันดูแลให้เต็มที่เลยค่ะ” แม่บ้านพูดให้อีกคนคลายกังวล “เอ่อแต่…” เขาหยุดคำพูดไว้ “คุณหนูอยากได้อะไรเพิ่มหรือคะ” แม่บ้านถาม “เอ่อ...ถ้าหมอมาแล้วผลเป็นยังไงป้าช่วยส่งข้อความไปบอกผมด้วยนะครับ” เขาร้องขอ “ได้เลยค่ะ งั้นแบบนี้ดีไหมคะ ถ้ามีความเคลื่อนไหวอะไร ป้าจะรีบพิมพ์ไปบอกเลยค่ะ” แม่บ้านเสนอ “อ่า...ขอบคุณมากครับ” เขากล่าว “ทีนี้ก็ไปโรงเรียนได้แบบหายห่วงแล้วนะคะ” แม่บ้านพูดพลางยื่นกระเป๋าสะพายให้ ก่อนเดินออกไปส่งขึ้นรถที่จอดรออยู่นานแล้ว “เอ่อ ป้าครับ” เขาหันมาพูดกับแม่บ้านก่อนก้าวขึ้นรถ “คะ คุณหนู” แม่บ้านถามพลางส่งยิ้มบางๆให้ “ฝากซักเสื้อผ้าของเขาด้วยนะครับ” เขากล่าว “ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าจะซักรีดให้เนี๊ยบเลยค่ะ” แม่บ้านรับคำ “มีอีกอย่างนึงครับ” เขาที่ขึ้นรถไปแล้วลดกระจกลง “ห้ามให้เขาออกจากห้องก่อนผมกลับมานะครับ” เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนที่แม่บ้านจะพยักหน้ารับคำ “หวังว่านายคงไม่เป็นอะไรมากนะ” เขานึกขณะที่รถเคลื่อนออกไป
คาบเรียนแรกของวัน
“ทำไมวันนี้นายดูโทรศัพท์บ่อยจัง” เพื่อนที่นั่งข้างๆถามขึ้น
“รอสายของใครอยู่อ่ะดิ” เพื่อนอีกคนสมทบ
“เฮ้ย..ใช้ที่ไหนล่ะ เอามาดูเวลา เนี่ยไม่หมดเวลาสักทีเบื่อจะแย่ละ” เขาตอบพลางเก็บโทรศัพท์
เขาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงแทบจะทันทีที่คาบแรกแรกจบลง
“เพื่อนคุณหนูรู้สึกตัวแล้วนะคะ ป้าตามหมอให้แล้ว อีกสักพักหมอจะมาถึงค่ะ ป้าลองวัดไข้ดูมีไข้เล็กน้อยค่ะ” เป็นข้อความที่ทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมา “กินข้าวหรือยังครับ” เขาพิมพ์กลับไป “กำลังทานอยู่คะ ว่าแต่เพื่อนคุณหนูชื่ออะไรคะ”คำถามนี้ทำเอาเขาชะงักไป ความจริงที่ว่าเขาไม่เคยรู้จักชื่อของคนๆนี้เลยทำให้เขารู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
“การที่เราไม่รู้จักชื่อของใครสักคนก็คงไม่แปลกหรอก แต่ถ้าคนๆนั้นคือคนที่เราเจออยู่ทุกวัน มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่รู้ชื่อของเขากันล่ะ”
เขาอ่านแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม เป็นเวลาเดียวกันกับที่คาบเรียนที่สองเริ่มต้นขึ้น เขาแทบจะรอให้ถึงเวลาพักไม่ไหว คาบเรียนดำเนินไปได้เพียงครึ่งเขาก็ขอตัวไปห้องน้ำ ทันทีที่เดินพ้นประตู เขาก็กดโทรศัพท์แล้วกดโทรออกระหว่างทางเดินไปห้องน้ำ
“เป็นยังไงบ้างครับ” เขากรอกเสียงลงไป “หมอบอกว่ามีไข้เล็กน้อยค่ะ นอนพักอีกสักวันก็น่าจะดีขึ้นค่ะ” ป้าแม่บ้านตอบ “ขอบคุณครับ” เขาตอบ ก่อนวางสายแล้วกดอัดวิดีโอ “นี่...ฉันเองนะ...นายน่ะพักผ่อนอยู่ในห้องไปก่อนนะ แล้วก็...กินข้าวแล้วก็กินยาตามที่หมอบอกด้วยล่ะ เลิกเรียนแล้วจะรีบกลับนะ” เขากดส่งวิดีโอ พร้อมทั้งข้อความว่า “เอาวิดีโอนี้ให้เขาดูด้วยนะครับ”
เมื่อดูวิดีโอที่อีกคนส่งมาแล้ว ทำให้ความสงสัยที่มีอยู่แล้วยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก เขาไม่รู้ว่าเขามาอยู่ที่ห้องของคนในวิดีโอได้ยังไง เป็นคนพาเขามาที่นี่อย่างนั้นหรอ แล้วทำไมถึงเป็นคนๆนี้กันนะ แต่ถึงอย่างนั้นในตอนนี้เขาก็ยังไม่มีแรงพอจะลุกไปไหนไกลได้หรอกทำได้แค่รออีกคนอยู่ในห้องนี้เท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น