Covert 01

Covert 01

"อะไร" เสียงห้วนของร่างสูงดังขึ้น ทันทีที่เปิดประตูห้องมาพบกับผู้เป็นน้อง
คนน้องยื่นกระดาษบางอย่างให้กับคนพี่อ่าน
"ทำไม" คนเป็นพี่ถามกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
คนน้องเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษอีกครั้งก่อนยื่นให้คนพี่อ่าน
"แล้วทำไมฉันต้องช่วยนาย" พูดพร้อมกับคิ้วที่ขมวดเป็นปม
คนน้องเกาะแขนพลางมองหน้าเป็นเชิงขอร้อง
"อย่ามาแตะต้องตัวฉัน" คนพี่โวยวายพลางสะบัดแขน อีกคนถึงกับเซจนเกือบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่
คนน้องพยายามที่จะเรียกคนพี่ แต่จะถูกตะคอกใส่เสียก่อน
"แล้วก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่ นายมันน่ารำคาญ" คนพี่ตะคอกก่อนปิดประตูห้องเสียงดังทิ้งคนน้องให้ยืนอยู่อย่างนั้น

เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วนะที่ผมทำให้พี่หงุดหงิด ผมรู้ดีว่าพี่เกลียดผมมากแค่ไหน แต่ผมไม่มีทางเลือก พี่เป็นคนเดียวที่จะช่วยผมได้ ผมพยายามแล้วแต่พ่อไม่แม้แต่จะสนใจผม  ผมเหลือเวลาอีกแค่สองปีกับชีวิตในวัยมัธยมปลาย ผมอยากใช้ชีวิตเหมือนกับคนอื่นๆบ้าง...ผมรวบรวมความกล้าเพื่อมาขอร้องให้พี่ช่วย แต่ตอนนี้ผมคงหมดหวังแล้ว

ผมนั่งมองแผ่นพับที่ประกาศรับสมัครนักเรียนมัธยมของโรงเรียนแห่งหนึ่ง มานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ผมต้องการและฝันถึงมาตลอดแต่ตอนนี้มันจบแล้ว

1 เดือนต่อมา

“คุณหนูคะ ทานอะไรหน่อยสิคะ เดี๋ยวปวดท้องนะคะ” แม่บ้านที่ยกถาดอาหารกลางวันมาให้พูดเมื่อเห็นถาดอาหารเช้าที่ยังคงอยู่ในสภาพเดียวกันกับตอนที่ยกมา
เขาไม่ตอบอะไรเพียงแค่หันไปยิ้มให้กับแม่บ้าน แล้วหันกลับมาสนใจกับกองหนังสือ สมุดจด และตารางเรียนของตัวเองต่อ
แม่บ้านเพียงแค่อมยิ้มแล้วเปลี่ยนถาดอาหารให้ ก่อนออกจากห้องไป
“คุณหนูไม่กินอะไรเลยอ่ะป้า” แม่บ้านพูดพลางวางถาดอาหารลงบนโต๊ะในห้องครัว
“คงจะดีใจน่ะ พรุ่งนี้จะได้ไปโรงเรียนวันแรก”
“วันแรก..หมายถึงเปิดเทอมวันแรกน่ะหรอป้า”
“เปิดเทอมวันแรกน่ะก็ใช่ แต่เป็นการไปโรงเรียนครั้งแรกของคุณหนูด้วย”
“ครั้งแรกหรอ..แล้วก่อนหน้านั้นล่ะป้า”
“ก่อนหน้านั้นก็เรียนที่บ้านอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“อ้าว...ไม่เคยไปโรงเรียนเลยหรอ นึกว่าเพิ่งมาเรียนที่บ้านตอนหลังซะอีก มิน่าล่ะดูตื่นเต้นจนไม่กินข้าวกินปลาเลย”
“งั้น เดี๋ยวเอาน้ำธัญพืชขึ้นไปให้คุณหนูด้วยนะ แล้วก็อยู่รอจนกว่าจะดื่มหมดค่อยลงมาล่ะ” หัวหน้าแม่บ้านกำชับ


วันเปิดเรียนวันแรก…

“คุณหนูคะ แต่งตัวเสร็จหรือยังคะ” แม่บ้านที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องพูดขึ้น และไม่นานหลังจากนั้นประตูห้องนอนก็ถูกเปิดออก
“โอ้โหคุณหนู ใส่ชุดนักเรียนแล้วดูเท่มากเลยค่ะ”  เขายืนยิ้มเขิน
“อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ คุณหนู กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะคะ” หนึ่งในแม่บ้านพูดเย้าพลางเลื่อนเก้าอี้ให้นั่ง บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยอาหารและเครื่องดื่มที่ถูกจัดเตรียมไว้ เขาเริ่มมื้ออาหารเช้าอย่างเร่งรีบ
“คุณหนู ทานช้าๆก็ได้ค่ะ ยังมีเวลาเหลืออีกเยอะนะคะ” แม่บ้านคนหนึ่งพูดขึ้น เขาไม่ตอบอะไรเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มตอบเท่านั้น มื้อเช้าจบลงอย่างรวดเร็ว เขาลุกขึ้นแล้วเอื้อมไปหยิบกระเป๋าจากมือของแม่บ้านที่อาสาจะถือกระเป๋าไปส่งแต่เขาปฏิเสธและขอเป็นคนสะพายไปเอง
“กระเป๋าสตางค์ ผ้าเช็ดผ้า เอาไปหรือยังคะคุณหนู” ป้าแม่บ้านอีกคนที่ยืนรออยู่ที่ประตูบ้านถามขึ้น
เขาพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้แทนคำตอบ
“นี่อาหารกลางวันนะคะ” พูดพลางส่งกล่องอาหารกลางวันให้
เขารับมาพลางโค้งให้เล็กน้อยเป็นการขอบคุณและบอกลา
“แน่ใจนะคะ ว่าคุณหนูจะไปเอง ให้คนไปส่งก็ได้นะคะ” เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนโค้งอีกครั้งเพื่อเป็นการบอกลา ก่อนเดินออกไป

“ฉันละอดห่วงไม่ได้เลยจริงๆ” ป้าแม่บ้านพูดขึ้น หลังจากที่มองดูคุณหนูเดินออกไปจนลับตา
“อย่าห่วงไปเลยป้า คุณหนูน่ะโตเป็นหนุ่มแล้วนะ”
“มันก็ใช่ แต่...ที่โรงเรียนน่ะจะไม่มีอะไรใช่ไหม”
“ไม่มีอะไรหรอกป้า ดูสิคุณหนูดูมีความสุขดีจะตาย อย่าคิดมากไปเลย”
“อื้ม ฉันก็ขอให้ทุกอย่างราบรื่นดีเถอะ”

“หึ” ผู้เป็นพี่ที่มองลงมาจากชั้นสองของบ้าน เห็นคนน้องยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนเดินออกจากบ้านไป
“จะดีใจอะไรนักหนา ก็แค่ได้ไปโรงเรียน”  เขาพึมพำ

โรงเรียนของผมเป็นโรงเรียนเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักประมาณสองป้ายรถเมล์ ผมเลือกที่จะเดินไปตามทางเดินเท้า อากาศตอนเช้าที่เย็นนิดๆนี่ดีจังเลย ตามทางเดินมีนักเรียนเดินกันอยู่ประปราย หนึ่งในนั้นจะมีคนที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของผมบ้างไหมนะ ผมนึกขณะเดิน ผมแวะเดินดูร้านรวงข้างทาง มองผู้คนที่เดินสวนไปมา มองคุณลุงที่ขี่จักรยานผ่านไป ผมไม่ได้รู้สึกดีแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ

ชั่วโมงโฮมรูม
“เอาล่ะทุกคนนั่งที่กันได้แล้ว วันนี้ครูมีเพื่อนใหม่มาแนะนำ”
เสียงที่โหวกเหวกโวยวายอยู่เมื่อครู่เงียบลงทันทีที่เสียงของครูสาวดังขึ้น
“เข้ามาสิ” เขาพูดกับใครสักคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังประตูห้อง
“คนนี้เป็นเพื่อนใหม่ของพวกเรานะ ชื่อวอนอู จอน วอนอู จะมาเรียนกับพวกเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
“ทำไมครูไม่ให้เค้าพูดอะไรหน่อยล่ะครับ” นักเรียคนหนึ่งตะโกนมาจากที่นั่งด้านหลังห้อง
“คือว่าเพื่อนคนนี้น่ะ เป็นเพื่อนที่มีความพิเศษล่ะ”
“พิเศษยังไงอ่าครับครู”นักเรียนอีกคนตะโกนถามขึ้น
“เค้าไม่สามารถสื่อสารกับเราได้ทางคำพูดนะ”
“หมายความว่าอะไรอ่ะครับ”
“หมายความว่าเค้าพูดไม่ได้หรอครับ”
“แล้วเค้าได้ยินที่เราพูดไหมครับ”
“แล้วเวลาที่เค้า...”
“เอาล่ะๆ ฟังก่อน ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้แต่เค้าก็ได้ยินแบบที่เราได้ยินนะ ส่วนเรื่องการสื่อสาร เค้าจะใช้การเขียนแทน”
“ที่นั่งแถวที่สามมีคนนั่งไหม” ครูสาวถามหาที่นั่งให้กับนักเรียนใหม่
“ไม่ว่างครับ มีคนนั่งแล้วครับ”
“แล้ว...” ยังไม่ทันจะได้ถามต่อแต่ก็มีนักเรียนที่ส่งเสียงมาจากหลังห้อง
“ตรงนี้ครับ ที่นั่งตรงนี้ยังว่างครับ”
“ถ้างั้นเธอเดินไปนั่งตรงนั้นนะ” เขาผายมือให้นักเรียนใหม่เดินไปยังที่นั่ง
“แล้วก็ทำความรู้จักกันไว้นะ ดูแลเพื่อนใหม่ด้วยล่ะ วันนี้พอเท่านี้ก่อน” กล่าวพลางบอกลานักเรียนในความดูแลของตัวเองก่อนเดินออกจากห้องไป

“นี่นายชื่ออะไรอ่ะ เราชื่อมินโฮนะ นายมาจากโรงเรียนอะไรอ่ะ”
“นายได้ยินที่พวกเราพูดจริงๆหรอ”
“แล้วทำไมนายถึงย้ายมาโรงเรียนนี้ล่ะ
“เพิ่งย้านบ้านมาอยู่แถวนี้หรอ”
“ที่โรงเรียนเก่านายมีอะไรเจ๋งเๆบ้างอ่ะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“แล้วปกตินายสื่อสารกับคนอื่นยังไงอ่ะ แล้วแบบนาย…”
“นายชอบเล่นกีฬาป่ะ มาเข้าชมรมด้วยกันไหม”
แทบจะทันทีที่ครูประจำชั้นเดินออกไปทุกคนในห้องต่างก็พากันมารุมล้อมแล้วก็แย่งกันถามคำถาม จนคนถูกถามเลือกไม่ถูกว่าจะตอบใครก่อนดี ได้แต่ส่งยิ้มให้คนโน้นทีคนนี้ที แต่แล้วความโหวกเหวกของกลุ่มคนที่ให้ความสนใจกับคนมาใหม่ก็หยุดลงเพราะเสียงของใครบางคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน
“คุยอะไรกัน...ไม่เคยเจอกันหรอ...เสียงดังออกไปถึงข้างนอก” ครูเจ้าของวิชาในคาบเรียนแรกของวันนี้พูดขึ้นพลางเดินเข้ามา
“วันนี้เรามีเพื่อนใหม่ด้วยครับครู”นักเรียนชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“อย่างนั้นหรอ...คนไหนล่ะ” พูดพลางมองหา
“คนนี้ครับ เขาชื่อวอนอูครับ” คนที่นั่งข้างๆพูดพลางชี้
“งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักนะะ และขอต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนนี้นะ”
“เฮเฮ…” ทุกคนในห้องต่างส่งเสียงโห่ร้อง  เพียงเพื่อหวังจะถ่วงเวลาเรียน
“เลิกเล่นกันได้แล้วและก็หยิบหนังสือเรียนขึ้นมา”

คาบแรกของการเรียนกับความรู้สึกน่าตื่นเต้นนับเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับคนที่เพิ่งเคยเรียนในห้องเรีย เป็นครั้งแรก ต่อให้เนื้อหาบทเรียนจะน่าเบื่อสำหรับคนอื่นมากแค่ไหนแต่สำหรับเขานี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากที่สุด เขามีความกระตือรือร้นที่จะจดบันทึกในทุกๆคำที่ได้ยิน พอรู้ตัวอีกทีในหน้าหนังสือก็เต็มไปด้วยรอยปากกาจนแทบจะไม่มีที่ว่างบนหน้ากระดาษเหลือ

“โห...เด็กใหม่ นายจะตั้งใจเรียนเกินไปแล้ว นี่มันวันเปิดเทอมนะ ไม่มีใครเขาเรียนกันหรอก” คนที่นั่งด้านหลังชะเง้อมองพลางพูดแซว

คาบเรียนที่สองวิชาประวัติศาสตร์ ครูพาทุกคนไปที่ห้องสมุดแล้วให้ศึกษาและสรุปประวัติศาสตร์ที่ตนเองสนใจ วอนอูตาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นกับภาพตรงหน้า สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยหนังสือที่ดูเหมือนว่าให้อ่านอย่างไรก็อ่านไม่หมด เขามองไปรอบๆด้วยความสนใจ
“เอาล่ะ ทุกคนครูมีเวลาให้จนหมดคาบเรียนนี้ ทำเสร็จแล้วให้นำสมุดไปวางที่โต๊ะตรงประตูทางออกห้องสมุด ใครไม่ส่งหรือส่งช้ากว่าเวลาที่กำหนดจะโดนหักสิบคะแนน” ครูประจำวิชาอธิบาย
“โห...ครู ไม่โหดไปหน่อยหรอ” นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น
“เอาล่ะเริ่มได้ ส่วนเธอน่ะ...ถ้าทำออกมาได้ไม่ดีล่ะก็เตรียมตัวทำใหม่ได้เลย” แกล้งขู่คนที่ชอบโวยวาย

เมื่อได้รับมอบหมายจากครูเรียบร้อยแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปตามส่วนต่างๆของห้องสมุด ที่มีความกว้างถึงสามชัน บางก็เลือกหนังสือที่ตัวเองสนใจ บางก็เดินไปหาที่นั่งเพื่อแอบงีบหลับ ขณะที่กำลังเดินเลือกหนังสือที่ชั้นหนังสือหมวดประวัติศาสตร์อยู่นั้น วอนอูมองผ่านหน้าต่างออกไปที่สนามของโรงเรียนมีคนอยู่จำนวนหนึ่งกำลังเล่นฟุตบอลอยู่ แม้ว่าจะมีหลายคนอยู่ตรงนั้นแต่สายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่คนๆหนึ่ง คนๆนี้เขาจำได้ดี เขาจำผมสีดำขลับ ดวงตากลมโตที่เปล่งประกาย ริมฝีปากอวบอิ่ม และรอยยิ้มกว้างนั้น

คนๆนั้นคือคนที่ทำให้เขาอยากมาเรียนที่โรงเรียนนี้ คนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขากล้าที่จะออกมาทำอะไรเหมือนคนอื่นๆ คนที่เขาชื่นชมในความเก่ง ความเท่ ในแบบที่ตัวเองไม่น่าจะเป็นและไม่มีทางเป็นได้

เขายืนมองอีกคนด้วยรอยยิ้มอยู่อย่างนั้น เป็นเวลานานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ “เฮ้ย วอนอูได้หนังสือยังอ่ะ” เขาสะดุ้งตกใจเพราะเพื่อนคนหนึ่งมาทัก ก่อนที่จะชูหนังสือในมือให้เพื่อนคนนั้นดู พอหันกลับไปมองที่สนามอีกทีคนๆนั้นก็หายไปเสียแล้ว

พักเที่ยง...
“ไปกินข้าวกับพวกเราป่าววอนอู” เพื่อนในห้องเอ่ยชวน เขาชูกล่องข้าวให้ดูแทนคำตอบ “อ่าว นายห่อข้าวมากินหรอกหรอ แล้วจะไปกินที่ไหนล่ะ” อีกคนถาม เขาส่ายหน้าแทนคำตอบ “ถ้างั้นนายก็ถือกล่องข้าวแล้วไปกินกับพวกเราที่โรงอาหารสิ” อีกคนเสนอ เขาพยักหน้าเห็นด้วย เพราะเขาเองก็ยังไม่ค่อยรู้จักที่นี่เท่าไร ยังไม่รู้ว่าจะไปนั่นกินข้าวได้ที่ไหนบ้าง วันนี้ก็ไปกับเพื่อนๆก่อนแล้วกัน

ที่โรงอาหาร … เขาทำตัวให้เป็รประโยชน์ด้วยการทำหน้าที่เป็นคนนั่งจองโต๊ะกินข้าวให้เพื่อนๆ ขณะที่รอให้เพื่อนๆมากินข้าวพร้อมกัน เขามองไปรอบๆโรงอาหาร พลางคิด “โรงอาหารจริงๆบรรยากาศเป็นแบบนี้เองหรอเนี่ย” เขาตื่นตากับบรรยากาศในโรงอาหาร แต่แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในโรงอาหาร “พี่คนนั้น” เขานึก พลางจับจ้องไปที่คนหนึ่งในกลุ่มที่โดดเด่นราวกับว่าเขาส่องประกายได้ “เท่จัง” เขานึกตอนที่มองอีกคนเดินผ่านไป
“เฮ้ย วอนอู ขอบคุณนะที่จองโต๊ะให้ นายเห็นเขายัง” เพื่อนคนหนึ่งที่เดินกลับมาพร้อมจานข้าวในมือพูดขึ้น
พอเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของคนถูกถามเลยขยายความต่อ “ก็รุ่นพี่ประธานนักเรียนไง ที่เพิ่งเดินผ่านไป” เขาอธิบาย วอนอูพยักหน้าแทนคำตอบ “จริงๆนานกินเลยก็ได้นะไม่ต้องรอพวกเราหรอก พักกลางวันก็คนเยอะรอนานแบบนี้แหละ” เพื่อนอีกคนที่เพิ่งเดินมาถึงพูดขึ้น “นี่...มาแล้ว เมนูพิเศษ นึกว่าจะซื้อไม่ทันซะแล้ว” อีกคนที่เพิ่งมาถงึพูดพลางวางจานลงบนโต๊ะ ทำท่าจะนั่งลงแต่ก็นึกขึ้นมาได้ “เอ้อ...จะไปซื้อน้ำมีใครเอาอะไรไหม” พอได้ยินแบบนั้นต่างคนก็ต่างแย่งกันพูดจนคนอาสาล้มเลิกความตั้งใจ “อ่ะๆ เดี่ยวไปเป็นเพื่อน มา..ใครเอาน้ำอะไร ทีละคนนะ” อีกคนอาสาไปซื้อและช่วยจำ “วอนอูล่ะ เอาน้ำอะไรไหม” เขานึกสักพักก่อนชี้ไปที่เพื่อนอีกคนที่สั่งไปก่อนหน้านี้ เพื่อสื่อว่าเอาน้ำแบบเดียวกับเพื่อนคนนี้

มื้อกลางวันและคาบเรียนช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็วถึงเวลาที่จะต้องแยกกันกับเพื่อนๆ วอนอูโบกมือลาเพื่อนทีละคน ก่อนที่ตัวเองจะเดินกลับไปตามทางเดียวกันกับเมื่อเช้า เรื่องราวในวันเปิดเทอมวันแรกของวอนอู เต็มไปด้วยความตื่นเต้น น่าสนใจ และมีความสุข เขาเดินอมยิ้มไปตลอดทางกลับบ้าน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม